เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๗ ธ.ค. ๒๕๕๒

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต. หนองกวาง อ. โพธาราม จ. ราชบุรี

 

ของที่เกิดขึ้นมานี้เกิดเพราะความศรัทธา เพราะเรามีศรัทธา เรามีความเชื่อของเรา เราถึงมีของนี้เกิดขึ้นมา มนุษย์เราเกิดมามีร่างกายกับจิตใจดีกว่าสัตว์ สัตว์ก็มีร่างกายกับจิตใจเหมือนกัน แต่สัตว์อยู่โดยธรรมชาติของเขา

มนุษย์เรามีสมองนะ มนุษย์มีศีลธรรมมีจริยธรรม ถ้ามีศีลธรรมจริยธรรมขึ้นมามันดัดแปลงได้ไง เราดัดแปลงถึงที่สุด เวลาสัตว์มันดีขึ้นมามันก็ดีตามประสาของสัตว์ สัตว์มันก็รักหมู่รักคณะของมัน แต่มนุษย์เรา เห็นไหม รักหมู่คณะแล้วยังเอาตัวเองรอดได้ด้วย ดูสิ สิ่งที่เกิดขึ้นมานี่จิตเกิดขึ้นมาจากน้ำใจใช่ไหม เรามีศรัทธา มีความเชื่อ เรามีน้ำใจ เราถึงเสียสละออกมา สิ่งที่เสียสละออกมานี่เพราะค่าของน้ำใจ

นี่คับที่อยู่ได้คับใจอยู่ยาก คับที่เห็นไหม ที่บ้านเรือนของเรา เราพยายามสร้างของเราขึ้นมาเพื่อความโอ่โถง เพื่อความพอใจของเรา แต่หัวใจล่ะ หัวใจถ้ามันคับ มันอยู่ที่โอ่โถงกว้างขวางขนาดไหนมันก็มีความทุกข์ของมัน แล้วถ้าจิตใจนี่ถ้ามันเปิดเป็นสาธารณะ การเสียสละนี้เป็นการฝึกมัน

ทาน ศีล ภาวนา ถ้ามีการเสียสละอันนี้มันจะทำให้หัวใจเราไม่คับแคบ ถ้าไม่คับแคบมันก็ไม่บีบคั้นหัวใจของตัวเอง เห็นไหม แต่เวลากิเลสตัณหาความทะยานอยาก สิ่งที่เสียสละนี้มันเป็นการเสียสละออกไปเราเป็นคนที่ไม่ได้ การเสียสละนี่เป็นค่าของน้ำใจไง ถ้าน้ำใจมันมีค่าของมันขึ้นมา นี่น้ำใจมันกว้างขวาง

ค่าของน้ำใจ เรามาวัดมาวานี่เราจะเป็นเศรษฐีกฎุมพีขนาดไหน แต่เรามีน้ำใจต่อกัน เห็นไหม อเสวนา จ พาลานํ ปณฺฑิตานญฺจ เสวนา..คนพาลอย่าไปคบ คบแต่บัณฑิต ถ้าหัวใจเราเป็นสาธารณะ จิตใจเรามีคุณค่า เราจะเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อกัน สิ่งใดเราจะเจือจานกัน คนเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อกัน มันหยิบยื่นให้ต่อกัน แม้แต่การอยู่ด้วยกัน การต่างๆ

สัตว์ทุกคนนะรักความสุขเกลียดความทุกข์ สิ่งต่างๆ ที่มันขัดแย้งจากใจเรา ความสงบสงัด ความคลุกคลีกัน เห็นไหม ถ้าเราไม่ปรารถนา คนอื่นก็ไม่ปรารถนาเหมือนกัน ถ้าเราไม่ปรารถนา แต่เวลาเราไปคลุกคลีกับคนอื่น คนอื่นเขาต้องการความสงัด สิ่งที่เป็นความไม่ดี คนอื่นเขาไม่พอใจเหมือนเราทั้งนั้นแหละ สิ่งที่มันไม่ดีเราก็ไม่ชอบเขาก็ไม่ชอบ ถ้าจิตใจเราเป็นธรรมมันไม่คับแคบ ถ้าจิตใจเราคับแคบนี่มันกดถ่วงกันด้วยหัวใจไง ดูสิ เวลาเราเห็นหน้ากัน บางคนถูกชะตา บางคนไม่ถูกชะตา อันนี้มันเป็นเวรเป็นกรรมกันมานะ ถ้าเป็นเวรเป็นกรรมกันมาเราต้องพยายามรักษาของเรา

สิ่งที่เป็นเวรเป็นกรรมต่อกันมา อันนั้นมันเป็นกรรมเก่า กรรมใหม่นี่เราต้องให้อภัยต่อกัน สิ่งที่ให้อภัย สิ่งที่แล้วมานี่ใครไปแก้ไขประวัติศาสตร์ไม่ได้ แต่สิ่งในปัจจุบันนี้เราแก้ไขได้นะ..ถ้าเราแก้ไขได้ศีลธรรมจริยธรรมเกิดตรงนี้ เกิดตรงที่เรามีการเสียสละ เป็นบุญกุศลของเราขึ้นมา บ้านเรือนของเราถ้ามันคับแคบเราขยายได้ เราต่อเติมได้ แต่หัวใจเราจะต่อเติมมันได้อย่างไรล่ะ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนศีล สมาธิ ปัญญา เห็นไหม ให้มีศีลมีความปกติของมัน เราจะต่อเติมมันเราต้องจับให้มันมั่นคงก่อน นี่เรามีความปกติของใจ ใจเรามีศีลขึ้นมานี่ความปกติของมัน ถ้ามันมั่นคงของมันนะ เราจับต้องมันได้ด้วยสติปัญญา เห็นไหม นี่เราจะต่อเติมอย่างไร เราจะแก้ไขอย่างไร แก้ไขหัวใจของเราไม่ให้มันคับแคบ

คับที่อยู่ได้ ถ้ามันคับใจมันไม่คับกับคนอื่นนะ มันคับกับหัวใจของเราเอง เวลามันทุกข์มันยากมันบีบคั้นใจของเราเองนะ..หน้าที่การงานก็เป็นเรื่องหนึ่ง นี่ความบีบคั้นของใจก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เห็นไหม นี่เวลาเราไปภาวนากันที่เป็นสัปปายะ ที่ไหนก็ดีหมดเลย

แล้วเรามานี่เราต้องการความสงบสงัด เราอยากเข้าป่าเข้าเขา อยู่คนเดียวให้ระวังความคิดนะ เวลาไปอยู่ในป่าในเขา ไปอยู่ในที่สงัดขึ้นมา หัวใจมันก็บีบคั้นเราอีกแล้ว หัวใจมันบีบคั้น นี่มันขาดแคลนไปทุกอย่างเลย ถ้าไปอยู่ที่นั่นจะมีคนคอยเจือจานเรา พอเราไปอยู่ในป่าในเขามันก็บีบคั้นอีก มันก็ทุกข์อีก เห็นไหม นี่ป่าเขามันกว้างขวางมหาศาลเลย ทำไมเราเข้าไปแล้วนี่อยู่คนเดียวให้ระวังความคิด ถ้ามันมีสติปัญญาของมันมันจะไตร่ตรองของมัน มันจะดูแลรักษาของมันนะ ดูแลรักษาใจของเรานี่ล่ะ

ถ้าดูแลรักษาใจของเรา มีสติ มีปัญญา มันแยกแยะของมัน..ที่คับนี่มันคับเพราะอะไร คับเพราะตัณหาความทะยานอยาก น้ำล้นฝั่ง! น้ำล้นฝั่งถ้าเรารักษามันไม่ให้มันล้นฝั่งไป นี่มันมีปัญญาคัดแยกได้ว่าอะไรควรหรือไม่ควร สิ่งไหนควรไม่ควรนะมันก็พออาศัยทั้งนั้นแหละ..ปัจจัยเครื่องอาศัย เห็นไหม มันเป็นของชั่วคราว แต่มันจำเป็น ชีวิตนี้มันต้องมีอาหาร

อาหารในวัฏฏะ นี่กวฬิงการาหาร อาหารเป็นคำข้าว อาหารของผู้ที่มีร่างกายกับจิตใจนี้ วิญญาณาหาร ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร จิตที่เวียนตายในวัฏฏะนี้มันต้องมีอาหารดำรงชีวิตของมันนะ ถ้าอย่างนั้นชีวิตจะอยู่ได้อย่างไรถ้าไม่มีอาหาร ไม่มีปัจจัยเครื่องอาศัย เรามีปัจจัยเครื่องอาศัย เราหามาด้วยกำลังของเรานี่มันทุกข์ยากไหม แล้วเราก็ต้องการความมั่นคง ต้องสะสมๆ

ดูสิ อาหารที่มีอายุยืนยาว อาหารนั้นจะให้คุณภาพกับร่างกายน้อยมาก อาหารที่อายุสั้น พวกผักสดต่างๆ นี่อายุมันสั้นแต่มันไม่ให้โทษกับร่างกายนะ แต่เราก็พยายามจะให้มีการถนอมอาหาร จะทำอาหารมาเพื่อให้มันได้ยาวไกล นี่มันเป็นความคิดของเราไง แต่ถ้าเรามีปัญญาของเรา นี่สิ่งต่างๆ มันเก็บยอดผักต่างๆ ในป่าในเขามันมีของมันตลอดถ้าเราเข้าใจ เห็ดถ้าคนดูเป็น เห็ดมีพิษหรือเห็ดไม่มีพิษ ถ้าเขากินเห็ดกันเราก็ไปเก็บเห็ดมากินกัน แต่ถ้าเห็ดมันเป็นพิษนะกินแล้วมันก็ตายได้

นี่ของมันเกิดมาเหมือนกัน ปัญญามันแยกแยะมันใคร่ครวญของมันได้ สิ่งนี้มันเป็นธรรมชาติของมัน มันเป็นคราวเวรคราวกรรมของเราขึ้นมา ถ้าทำบุญกุศลขึ้นมา สิ่งนี้มันจะเจือจานกับเรา เห็นไหม นี่ปัจจัยเครื่องอาศัย อาหารดำรงชีวิต ดำรงชีวิตเพื่ออะไร ดำรงชีวิตขึ้นมาเพื่อหัวใจ

สิ่งที่มีคุณค่าที่สุดคือความรู้สึก เราหาทุกๆ อย่างมาเพื่อความสุขของใจ เพื่อความสงบของใจ แล้วสุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบนี้ไม่มี จิตที่มันสงบขึ้นมานี่เรารักษาขึ้นมา ที่เราทำกันอยู่ เรามาวัดมาวาก็เพื่อรักษาของเราเพราะอะไร เพราะเราเป็นมนุษย์ เรามีศีลธรรมจริยธรรม เราเชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นแก้วสารพัดนึก

“ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นตถาคต” แล้วถ้าจิตมันสงบเข้ามา อ๋อ ! พุทธะเป็นอย่างนี้ ตัวตนเป็นอย่างนี้ไง นี่เป็นชื่อของเรา ชื่อเราอยู่ที่ทะเบียนบ้านใช่ไหม นี่นาย ก. นาย ข. นาย ง. อยู่ที่ทะเบียนบ้าน แล้วพอไปเปลี่ยนทะเบียนบ้านชื่อมันก็เปลี่ยนไปแล้ว แต่ถ้าเราไปเข้าถึงจิตของเรา นี่ไงตัวตนของเรา ตัวตนจริงๆ นะ ตัวตนของเรา จิตของเรา นี่ฐีติจิตจะตกแต่งสิ่งที่ร่างกายที่มันคับใจอยู่ยากเข้าไปเห็นมัน พอไปถึงที่มันสงบขึ้นมามันไม่คับแล้ว มันปล่อยวางหมดเลย มันโล่งมันว่างขนาดไหน นี่ความสุขใดเท่ากับจิตสงบไม่มี แต่จิตสงบขึ้นมาได้อย่างไรล่ะ ถ้าจิตสงบมันมีความสุขอย่างนี้นะ

แต่ในปัจจุบันนี้เราสร้างภาพกันนะ ว่างๆ ว่างๆ นี่มันไม่มีรสชาติไง ว่างๆ เพียงแต่ว่ามันสบายใจ มันเหม่อลอย พอมันเหม่อขึ้นมานี่ว่างๆ ว่างๆ

มันเหม่อลอยนี้เป็นความว่างของโลกๆ เป็นความว่างของสัญญาอารมณ์นะ แล้วถ้าจิตสงบจริงๆ มันไม่ใช่ว่างๆ อย่างนั้นหรอก มันมีเจ้าของมัน มันมีคนดูแลรักษามัน มันมีความสุขของมัน พอมันสุขของมันมันซึ้งใจมาก มันจับต้องได้ มีตัวตนได้ มีสติมีปัญญา

มีสตินี่ใครเป็นเจ้าของความว่าง..เราเป็นเจ้าของสมบัติของเรานี่เราจะภูมิใจมากเลย ไปดูสิในธนาคารมีเงินทองมหาศาลแต่ไม่ใช่ของเรา เราภูมิใจไหม เราเห็นธนาคาร นี่ยอดเงินในธนาคารเรารู้ตัวเลขหมดเลย แล้วเรามีความภูมิใจอะไร แม้ในบัญชีของเรานะ มี ๕ บาท ๑๐ บาทในบัญชีของเราเราภูมิใจนะ เราหาของเรามานะ จิตมันสงบเข้ามา มีสติสัมปชัญญะมันรู้ของมัน อื้อฮือ ! จิตสงบเป็นอย่างนี้

ไม่อยากจะพูดว่าอยากฟังอย่างนี้ อยากฟังคนที่มันสงบจริงๆ แล้วมาบอกจริงๆ นี่มันสงบจริงๆ นะ มันมีความสุขของมันจริงๆ ไอ้นี่ว่างๆ ว่างๆ นะ ยังไม่รู้เลยว่ามันว่างมันเป็นอย่างไร ว่างๆ ว่างๆ สติปัญญามันไม่มี มันเป็นสัญญาอารมณ์ มันเป็นธรรมชาติของมัน ดูอากาศสิ อากาศลมมันพัดมันแปรปรวนไปสิ มันว่างไหม อากาศมันว่างไหม อวกาศมันว่างไหม แล้วอวกาศมันมีความสุขไหม

มนุษย์ต่างหาก นักวิทยาศาสตร์ต่างหากเขาคำนวณได้ว่าความเร็วของแสง ความเร็วของอากาศ มนุษย์ต่างหากไปคำนวณมันนะ แล้วความว่าง ว่างๆ ว่างๆ นี่ใครเป็นเจ้าของมัน..นี่ไงความสุขใดเท่ากับจิตสงบไม่มี ถ้ามันสงบจริงๆ สิ่งที่ว่าว่างๆ ว่างๆ กับความสงบจริงๆ มันจะแตกต่างกันมาก! ถึงบอกว่ามรรคผลมันมี

มรรคผล เห็นไหม มรรคผลในพุทธศาสนานี่มี แต่เราไปตะครุบเงากัน เราตะครุบเงาสิ่งนั้นนะ นี่คับที่อยู่ได้คับใจอยู่ยาก จิตใจมันก็คับแคบอยู่แล้ว แล้วก็ไปสร้างภาพให้มัน หลอกลวงมัน แล้วมันก็ตื่นเงาไป ตะครุบเงาไป แล้วจิตใจเรามีคุณค่าขนาดนี้ แล้วจิตใจเราทำไมปล่อยไม่มีเจ้าของ..สติปัญญาอยู่ไหน! หัวใจเราแท้ๆ สมบัติของเราแท้ๆ แล้วเราหาไม่เจอ เราทำไม่ได้ แล้วเราไปตื่นแต่โลกอยู่ข้างหน้าแล้วได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา

นี่ไงคับที่อยู่ได้คับใจอยู่ยาก คับใจก็ต้องแก้ไขมันให้ได้จริงๆ ไม่ใช่คับที่อยู่ได้คับใจอยู่ยาก คับใจแล้วก็จะแก้ไขมัน ก็ไปสร้างเงาขึ้นมา สร้างสถานการณ์ขึ้นมาแล้วก็หมุนตามมันไป แล้วก็ว่าสิ่งนั้นเป็นธรรมๆ มันเป็นจริงหรือเปล่า! ถ้ามันเป็นจริงขึ้นมา นี่สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี แล้วมีสติปัญญาใคร่ครวญมัน ถอดถอนมัน มันยิ่งสุขสงบ มันยิ่งมีปัญญามากกว่านั้น มันถอดถอน มหัศจรรย์มาก

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดาของเรานะ พอตรัสรู้ธรรมขึ้นมานี่ว่า “จะสอนใครได้หนอ” เพราะมันสื่อกับเราไม่รู้เรื่อง เวลาสื่อกับเราเราก็ใช้ปัญญา นี่ โอ้โฮ.. ใช้ปัญญาๆ ไอ้นี่มันเป็นวิชาการ มันเป็นสัญญา มันเป็นสถิติ มันเป็นข้อมูล มันเป็นสมอง มันเป็นความจำ แต่มันก็ต้องจำมาก่อน ทุกอย่างที่การกระทำนี้ ดูสิ ทางวิชาการเราต้องมีข้อมูล มีหลักฐานขึ้นมา เราแม่นยำในวิชาการ เราจะทำอะไรด้วยความมั่นคงนะ

นี่เราแม่นยำในธรรมะ ในธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่แม่นยำ พอแม่นยำขึ้นมานี่ก็เป็นสูตรตายตัว วิทยาศาสตร์ตายตัวแล้วเป็นกรอบเลย กระดิกไม่ได้เลย ผิดหมดๆ นะ แล้วไปไม่ได้เลย..ข้าวดิบมันจะสุก ข้าวสุกเก็บไว้มันจะเน่า นี่ข้าวมันดิบก็กินไม่ได้ต้องให้มันสุก พอข้าวสุกไม่กินไม่รักษามัน ถ้าเก็บไว้มันจะบูด

นี่ก็เหมือนกัน จิตที่มันเป็นไปนี่ลักษณะมันเดี๋ยวเจริญแล้วเสื่อม เสื่อมแล้วเจริญ มันพัฒนาของมันตลอดเวลา มันเป็นอย่างนี้แล้วเราจะดูแลมันอย่างไร จะรักษามันอย่างไร คนเป็นมันจะเห็นคุณค่าตรงนี้นะ ถ้าคนไม่เป็นไม่รู้หรอก ข้าวก็คือข้าว ข้าวไม่ใช่ข้าวจริงๆ นะ ข้าวมันไปเขียน ข. ไข่ สระอา ว. แหวน ไม้โท นู้นข้าวมันเป็นชื่อของข้าว ตัวข้าวมันก็ไม่เคยเห็น ข้าวดิบก็ไม่รู้จัก ข้าวสุกก็ไม่รู้จัก ข้าวบูดก็ไม่รู้จัก ข้าวเน่าก็ไม่รู้จัก

จิตใจของคนมันจะมีเจริญแล้วเสื่อม มันเป็นธรรมชาติของมันอย่างนั้น เวลามันเสื่อม ของมันเน่าเสียแล้วมันเสียไป จิตใจคนเสียแล้วมันเสีย จิตใจมันเสียคืออารมณ์มันเสีย แต่ตัวหัวใจมันไม่เคยเสียเพราะใจมันไม่เคยตาย..ใจเสียใจขนาดไหน ทุกข์ยากขนาดไหนแต่ใจมันก็คือใจ มันแปรปรวนตลอดเวลา เห็นไหม นี่คับที่อยู่ได้ คับใจอยู่ยาก

หัวใจที่มันโดนกิเลสบีบคั้นเอามันมาถนอมรักษา ของเราแท้ๆ อยู่ในหัวใจเราแท้ๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนเราทั้งหมดนะ เราจะไปตื่นเงาข้างนอกไม่ได้ เราต้องพิสูจน์ของเราไม่ให้เชื่อแม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอน ให้ประสบการณ์จริงที่จิตมันเป็น ถ้ามันสงบก็ให้มันสงบจริงๆ ให้มันสัมผัสจริงๆ ให้มันรับรู้รสจริงๆ ให้มันมีความสุขจริงๆ แล้วจะมหัศจรรย์กว่าที่เราพูดๆ กันอยู่นี้นัก!

นี่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พุทธศาสนานี่มีคุณค่ามาก แต่พวกเราไปลูบๆ คลำๆ ไปตะครุบเงากันแล้วไม่เข้าถึงสัจจะความจริง แล้วพุทธศาสนานี่ทำบุญแล้วไม่ได้บุญ ทำแล้วนี่บุญกุศลมาไม่เห็นมีบุญกับเราเลย.. บุญมันมี มีที่เราเกิดเป็นมนุษย์ มีตรงมีหัวใจเรานี่ มีตรงมีความรู้สึกเนี่ย ความรู้สึกนี้มันจะแก้ไข ความรู้สึกอันนี้มีคุณค่ามาก หัวใจที่มีคุณค่ามาก

ทรัพย์สินเงินทองมันเป็นปัจจัยเครื่องอาศัย ทุกคนก็อยากได้แสวงหาเพื่อความมั่นคงทั้งนั้นแหละ ถ้าเรามีสติปัญญาขึ้นมา เราแสวงหามันไปกับโลก ชีวิตเราถึงที่สุดนี่งานทางโลกมันจบไหม มันก็หาอยู่หากินไปจนวันตายนั่นล่ะ

แต่ถ้ามันตายไปแล้วถ้าจิตใจมันดีนะ หาอยู่หากินเหมือนกัน แต่หัวใจมันไม่ติดข้องกับมัน มันอยู่กับโลกด้วยความเป็นสุขนะ หาอยู่หากินเลี้ยงปากเลี้ยงท้องนี่ล่ะ แต่หัวใจมีหลักมีเกณฑ์ขึ้นมาแล้วมันอยู่ของมันได้ มันเข้าใจได้ มันเข้าใจชีวิตนี้ได้ แล้วไม่บีบคั้นหัวใจจนทุกข์เกินไปนัก เอวัง